วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ครึ่งปีแรกบีโอไอส่งเสริมลงทุนใต้บนเกือบ 6 พันล้าน

6 เดือนแรกปี 54 บีโอไอ.อนุมัติส่งเสริมการลงทุนแล้วเกือบ 6,000 ล้านบาท อุตสาหกรรมเกษตรและผลผลิตการเกษตรนำโด่งกว่า 3,000 ล้านบาท ตามมาด้วยอุตสาหกรรมบริการ และพลังงานทดแทน คาดตลอดทั้งปีไม่ต่ำกว่า 65 โครงการ มูลค่าการลงทุนกว่าหมื่นล้านบาท เพราะยังมีโครงการรอการอนุมัติอีกเกือบ 8 พันล้านบาท
      
       นายสุวิชช์ ฉั่ววิเชียร ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 6 (บีโอไอ) เปิดเผยถึงภาวการณ์ลงทุนในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน 7 จังหวัดช่วงครึ่งปีแรก 2554 ว่า การลงทุนในช่วงตั้งแต่เดือนม.ค.-มิ.ย. 2554 ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอมีทั้งสิ้น 15 โครงการ เงินลงทุน 5,846 ล้านบาท การจ้างงาน 1,724 คน ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2553 จะเห็นว่าทั้งโครงการและเงินลงทุนลดลงจากปีที่แล้ว แต่ทั้งนี้ยังมีโครงการที่ได้ยื่นขอสนับสนุนการลงทุนเข้ามาแล้วแต่อยู่ระหว่างการพิจารณาถึง 22 โครงการ เงินลงทุนทั้งสิ้น 7,830 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 1,615 คน
      
       การลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในประเภทอุตสาหกรรมเกษตรและผลผลิตทางการเกษตร ที่มีเงินลงทุนสูงถึง 3,200 ล้านบาท รองลงมาเป็นประเภทบริการ เงินลงทุน 2,525 ล้านบาท และประเภทอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน เงินลงทุน 2,105 ล้านบาท โดยโครงการตั้งอยู่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี 9 โครงการ กระบี่ 4 โครงการ ภูเก็ต 3 โครงการ พังงา 2 โครงการ และนครศรีธรรมราช 1 โครงการ
      
       นายสุวิทย์ ยังกล่าวถึงแนวโน้มการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง ว่า มีแนวโน้มสูงกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุน 22 โครงการ เงินลงทุน 7,830 ล้านบาท ซึ่งโครงการส่วนใหญ่ยังคงเป็นอุตสาหกรรมเกษตรและผลผลิตการเกษตร อุตสาหกรรมบริการ และอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน และจากการรุกประชาสัมพันธ์นโยบาย SMEs ในโค้งสุดท้ายมีผู้สนใจขอรับการส่งเสริมไม่น้อยกว่า 20 ราย คาดว่าสิ้นปี 2554 จะมีโครงการที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนไม่น้อยกว่า 65 โครงการ เงินลงทุนน่าจะใกล้เคียงกับปี 2553 ประมาณหมื่นกว่าล้านบาท
      
       อย่างไรก็ตาม จะต้องรอดูความชัดเจนของการปรับค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่จะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมที่จะต้องเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบการจะต้องมีการปรับตัวด้านทักษะความรู้ ความชำนาญเทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อทำให้เกิดความเข้มแข็ง และมีความสามารถในการแข่งขันได้ในทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะการจะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งอาจจะเป็นทั้งโอกาสและอุปสรรค์ของผู้ประกอบการ
ข้อมูลจาก...ผู้จัดการ ออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น: